รีวิว Black Panther Wakanda Forever

มันไม่ใช่หนังผู้หญิงที่แข็งแกร่งที่แสดงให้ผู้หญิงเห็นว่าดีพอๆ กับผู้ชาย ผ่านการดำเนินเรื่องของหนังที่ค่อยๆ เล่าเรื่อง และดาราสาวทุกคนก็ได้แสดงพลังออกมาอย่างเต็มที่ ราชินีรามอนดาก็อยู่ภายใต้แรงกดดันเช่นกันในฐานะผู้นำคนใหม่ของวากานดา ซูริต้องแบกรับความหวังและความมั่นใจ ส่วนนาเคียเธอต้องแบกรับการสูญเสียอดีตคนรัก ต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศและราชบัลลังก์ของคุณ นี่คือส่วนผสมของภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่หญิงที่ผู้เขียนเห็นว่าน่าสนใจและชอบมากเป็นการส่วนตัวรีวิว Black Panther Wakanda Forever

และเมื่อหนังเลือกที่จะเดินหน้าต่อจากความสูญเสียโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะก้าวต่อไปโดยเฉพาะตอนต่อสู้กับนามอร์ การแก้ปัญหาของเรื่องราวของวากานด้า ในภาคนี้ เราจะมาดูกันว่า Zuri ได้รับเทคโนโลยีที่น่าทึ่งมาได้อย่างไร รวมถึงการค้นหา Iron Heart นั่นเป็นสาเหตุหลักของความขัดแย้งในภาพยนตร์ และยังคงเล่าเพื่อความสนุก หนังยาว 161 นาที แต่ขอบอกว่าไม่ยาวขนาดนั้น นอกจากนี้ยังมีฉากแอ็คชั่นทั่วไปให้ชม อาจจะไม่เน้นแอคติ้งแมนๆ เท่าไหร่ แต่ต้องบอกว่าดุดันและดังกว่าภาคแรกเยอะครับถือว่าทำได้ดีขึ้น โดยเฉพาะฉากใต้น้ำของ Tarohan นั้นน่าตื่นเต้นมาก กล่าวอีกนัยหนึ่งอาจไม่ราบรื่นเท่า “Avatar 2” แต่ก็ถือได้ว่า CG ของหนัง Marvel ที่สอบผ่านท่ามกลางหนัง Phase 4 ที่สอบตกหลายเรื่องออกมาอย่างสวยงาม

เป็นการผสมผสานความหลากหลายและซับซ้อนของหนัง แต่ทั้ง การเมือง วัฒนธรรม ความเชื่อ ความรัก ความอาลัย และความริษยา ในส่วนนี้ถูกสร้างและนำเสนอได้อย่างตลกและทรงพลังพอๆ กับภาคแรก เนื้อเรื่องก็สมน้ำสมเนื้อ การตัดต่อและฉากตะกุกตะกักที่ลื่นไหลน้อยกว่าภาคแรกเล็กน้อยซึ่งบาดแผลถูกเปิดเผยในฉากแอคชั่น และฉากต่อสู้ในตอนท้ายเรื่อง จุดเด่นอีกอย่างที่ผู้เขียนรู้สึกคือ Black Panther ตัวใหม่ที่ปรากฏตัวครั้งแรกในภาคต่อนี้ ยังไม่มีศักดิ์ศรีใดเทียบได้กับบอสแมน แม้ว่าเราจะยังไปต่อจาก Black Panther เวอร์ชันของ Boseman ไม่ได้ แต่เช่นเดียวกับฮีโร่รุ่นเยาว์หลายคนที่เปิดตัวใน Phase 4 ถ้าคุณมองว่านี่คือ Black Panther เวอร์ชันใหม่ มันก็สมเหตุสมผลแล้ว ถึงเวลาเดินหน้าต่อไปแล้ว คือ ที่นี่.

โดยรวมแล้วมันคือ Black Panther: Wakanda Forever สำหรับผู้เขียน นอกเหนือจากการเป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่บอสแมนแล้ว นี่เป็นภาพยนตร์ที่สะเทือนใจอย่างแท้จริง แต่ไม่ใช่หนังชวนดราม่าให้ปวดตับนะครับ มันอาจไม่ใช่หนังกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่เป็นหนัง Marvel ที่ทำให้หวนนึกถึงอดีต แต่มันเป็นภาพยนตร์ฮีโร่ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังแห่งความหวังที่พยายามสร้างความหวังให้กับผู้ชม และกองกำลังเฟมินิสต์ที่จัดวางอย่างดีซึ่งโดดเด่น แข็งแกร่ง และอ่อนโยนไปพร้อม ๆ กัน เป็นการถ่ายเลือดจากตัวเอกชายในภาคแรก การเป็นฮีโร่หญิงเต็มตัวอาจไม่สมบูรณ์แบบเท่าภาคแรก แต่เป็นหนังที่รู้จุดแข็งของมัน ใช้ได้ตลอดภาคนี้ ต่อด้วยเนื้อเรื่องใหม่ ยังเป็นหนังปิดภาค 4 อันทรงเกียรติอีกด้วย จนเรียกได้ว่านี่คือหนังมาร์เวลที่น่าจะอยู่บนสุดของหนังและซีรีส์ Phase 4